http://www.duangden.com
คำกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล
 

***

พระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช
ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม
และ
เสด็จออกมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล
ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต

วันศุกร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

        เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เวลา ๑๐.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มายังพระที่นั่งอนันตสมาคม
       
       จากนั้น ได้เสด็จฯ เข้าสู่พลับพลาพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาปางประจำรัชกาลสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนพัดรองที่ระลึกพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชแด่สมเด็จพระราชาคณะพระราชาคณะ ๑๐ รูป แล้วประทับพระราชอาสน์ ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล จบ
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งชุมสายที่ตั้งเครื่องบวงสรวง บริเวณหน้าพลับพลาพิธี ทรงแปรพระพักตร์สู่ปราสาทพระเทพบิดร และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะบวงสรวงสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมแตร ดุริยางค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับพระราชอาสน์ที่มุขหน้าพลับพลาพิธี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ อ่านประกาศบวงสรวง
       
       ในขณะนั้นผู้ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททุกหมู่เหล่ายืนประนมมือแสดงคารวะบูชาผินหน้าไปทางพระที่นั่งชุมสาย เมื่อพระราชครูวามเทพมุนีอ่านประกาศบวงสรวงจบ โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมแตร ดุริยางค์ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ แล้วทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายพระพรชัยมงคลคาถาพิเศษถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วพระสงฆ์ออกไปรับพระราชทานฉันท์ที่ตำหนักสวนบัวเปลว ภายในพระที่นั่งวิมานเมฆ
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม
       
       ต่อมาในเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี เลขาธิการพระราชวัง ราชเลขาธิการ สมาชิกราชสกุล และสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ เผ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในห้องพระโรงหน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร
       
       เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยืนเฝ้าฯ ที่แท่นหน้าสีหบัญชร พร้อมแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกสีหบัญชรมุขด้านทิศใต้ ชาวพนักงาน กระทั่งมโหระทึก ประโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ ๓ เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ ๒๑ นัด พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเจริญชัยมงคลคาถา ย่ำฆ้องกลองระฆัง พร้อมกับการประกอบพิธีกรรมของศาสนาอื่นๆ
       
       ครั้นสุดเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลในนามของพระบรมวงศานุวงศ์
       
       “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

       ข้าพระพุทธเจ้า เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ มีความปีติ ปราโมทย์ เป็นพ้นประมาณ ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้มาประชุมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ในมหาสมาคมอันยิ่งใหญ่นี้ นับแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย เมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงปฏิบัติพระองค์ และปฏิบัติพระราชกิจโดยบริสุทธิ์ บริบูรณ์ทุกสถาน ทั้งตามระบอบการปกครอง และตามโบราณขัตติยะจารีต พระเกียรติคุณแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลก ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์สุดประเสริฐ เลิศด้วยบุญญาธิการ และเพรียบเพ็ญด้วยพระบารมี
       
       พระบารมีแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทนั้น มีเป็นอเนกประการ เกินกว่าจะกล่าวขานได้ในเวลาอันจำกัด ณ มหามงคลสมัยพิเศษนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับพระราชทานยกพระบารมีประการหนึ่ง ขึ้นอ้างถวายราชสดุดี ได้แก่ สัจจะบารมี การรักษาสัจจะที่ตั้งไว้แก่ตนเอง และให้แก่ผู้อื่น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงธำรงรักษาอย่างอุกฤษฏ์อยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ เมื่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงยินยอมรับสิริราชสมบัติ ได้มีพระราชดำรัสในท่ามกลางมหาสมาคม กอปรด้วย ประธานสภาผู้แทนผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ ว่า ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และเพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างเต็มความสามารถ และในคราวที่ทรงรับพระบรมราชาภิเษก ได้ทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการ ซึ่งเป็นทั้งพระราชปณิธานและสัจจะวาจา พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
       
       ตลอดเวลาที่ผ่านมาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงปฏิบัติพระองค์มั่นคงในราชนิติธรรมของพระมหากษัตริย์ มีทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร สังฆหวัตถุ พร้อมทั้งเป็นธรรมอันเป็นพละ คือกำลังของผู้ครองแผ่นดิน ๕ ประการ และทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ ในอันที่จะปกป้องสรรพภัยพิบัติ และดำรงความผาสุกสวัสดิ์ของราชอาณาจักร และประชาชน อยู่สม่ำเสมอเป็นนิจ เห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระราชดำริขึ้น เพื่อปรับปรุงและพัฒนาแหล่งทำกิน ตลอดจนการประกอบสัมมาอาชีพของพสกนิกร และที่ใดมีทุกข์ เดือดร้อน แม้อยู่ในถิ่นที่ทุรกันดารห่างไกล ก็ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุคับขัน เป็นอันตรายแก่ความมั่นคงของบ้านเมือง ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่เคยทรงหวั่นหวาดที่จะเผชิญและแก้ไข ทรงใช้ความถูกต้อง ความกล้าหาญ พร้อมทั้งพระขันติ และพระปรีชาญาณอันสุขุม คลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ทุกคราวมา
       
       พระราชภารกิจทั้งนั้นแม้จะเป็นภาระที่หนักและลำบากยิ่ง แต่ด้วยเหตุที่ทรงดำรงมั่นอยู่ในพระราชสัจจะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงมิได้ทรงย่อท้อหรือหวั่นไหว หากมีพระราชหฤทัยที่แน่วแน่ และมุ่งมั่น ทำให้พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ที่ทรงปฏิบัติ บำเพ็ญ บรรลุศุภผล ยังประโยชน์และความผาสุกมั่นคง ให้เกิดแก่ประชาราษฎร์และประเทศไทยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั่วทุกเขตคามในขอบขัณฑสีมาอาณาจักร จึงมีความผาสุกร่มเย็นทั่วหน้ากันด้วยพระบารมีแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมอยู่เป็นนิจกาล
       
       ในมหามงคลสมัยที่ทรงครองสิริราชสมบัติยั่งยืนนานมาครบ ๖๐ ปี จึงเป็นวาระอันควรที่คนไทยทั้งชาติจะได้ร่วมกันแสดงความจงรักภักดี ให้ทรงมีพระราชหฤทัยผ่องแผ้ว เบิกบาน โปร่งปลอดจากเรื่องรบกวนกังวล ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพระบรมวงศานานุวงศ์ จึงขอพระราชทานยึดสัจธรรมขึ้นเป็นที่ตั้ง ร่วมจิตกันถวายเป็นสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวงจะตั้งตัว ตั้งใจไว้ให้มั่นคง ในความซื่อสัตย์สุจริต และในความจงรักภักดีจะรักษาเกียรติและความสามัคคีให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอทุกเมื่อ จะตั้งใจประพฤติตัว ปฏิบัติงานตามภาวะฐานะและหน้าที่ของตน โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และจะละเว้นการประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท กับขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล
       
       ขออานุภาพคุณพระรัตนตรัยและเทวาดิเทพน้อยใหญ่ ผู้ปกปักบริรักษ์สยามรัฐสีมามีพระสยามเทวาธิราชเป็นอาทิ กับทั้งพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ อีกอำนาจแห่งพระราชกุศลบารมีที่ทรงสั่งสมตลอดมา หาประมาณมิได้ จงพร้อมเพรียงกันเกื้อกูลและอภิบาลบำรุงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเกษมสวัสดี ทรงผ่องแผ้วด้วยพระบุญราศีสูงส่งทั้งในพระราชหฤทัยและพระวรกาย อริราชศัตรูหมู่พาลทั้งหลายพ่ายแพ้แก่พระมหากรุณาอันพิสุทธิ์ไพศาล พระกิตติคุณ บุญญาธิการแผ่ไกลในทิศานุทิศ พระราชประสงค์จงสัมฤทธิ์ทุกประการ เสด็จสถิตย์ยั่งยืนนานในมไหศุริยสมบัติ เป็นร่มฉัตรปกประเทศเป็นบุญเขตรุ่งเรืองร่มเย็นสำหรับข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และประชาชาวไทยถ้วนหน้าได้พึ่ง ได้อาศัยด้วยความผาสุกสวัสดีตลอดไปชั่วกาลนาน

       ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
       
       จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าฯ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม
       
       ต่อมานายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามของคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหมู่เหล่า ความว่า
       
       "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

        ข้าพระพุทธเจ้า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหมู่เหล่า ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลพระกรุณาสำแดงความจงรักภักดี และความปลื้มปีติปราโมทย์ ในมหามงคลสมัยที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงสถิตในราไชศวรรยราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี อันยาวนานกว่าการครองสิริราชสมบัติของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ของไทย
       
       การที่ประเทศไทยสามารถพ้นวิกฤติ ภัยนานา ปวงประชามีความผาสุกสวัสดี เหตุเพราะพระบรมเดชานุภาพในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เป็นสำคัญ แม้ในด้านการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน ก็ทรงอุทิศพระองค์ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ผู้ใดที่เกิดและเติบโตมาในต่างจังหวัด หรือเคยทำงานในชนบท จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองนี้ ในเวลา ๖๐ ปีที่ผ่านมา อย่างชัดเจน จากผืนแผ่นดินที่เคยแห้งแล้ง ดินเค็ม เป็นป่าเสื่อมโทรม บ่อพรุ หรือกันดารน้ำ กลายเป็นป่าเขียวขจี ทำการเกษตรได้ เก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ มีฝนหลวง มีระบบชลประทาน จากดินแดนที่ราษฎรเคยปลูกพืชเสพติด เผาป่า ขาดการศึกษา ขาดหมอ กลายเป็นดินแดนที่อุดมด้วยลูกท้อ ลูกพลับ หน่อไม้ฝรั่ง ไม้ดอก มีการเลี้ยงสัตว์ รู้จักการแบ่งพื้นที่ปลูกบ้าน เลี้ยงปลา และทำนา จนมีรายได้พออยู่พอกิน ถนนและสะพานในหลายถิ่นเริ่มก่อสร้าง ทางเริ่มลาดยาง คลองเริ่มขุด ป่าเริ่มปลูกใหม่ โรงเรียน โรงพยาบาล เริ่มมีขึ้นทั่วถึง โครงการต่างๆ ที่สนองประโยชน์สุขแก่ประชาชน ปรากฏขึ้นมากมาย        คณะรัฐบาลที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน และข้าราชการทั้งหลาย ย่อมเป็นประจักษ์พยานยืนยันได้ว่า การพัฒนาเหล่านี้ไม่มีวันสำเร็จ หากมิได้อาศัยเดชะพระบารมีทรงอำนวย หรือพระราชทานคำแนะนำ ส่วนใดที่คิดอ่านทำกันไปเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อทรงทราบ ก็ได้พระราชทานคำแนะนำ ให้ลองปรับการปฏิบัติเสียใหม่ โดยคำนึงถึงประชาชนเป็นที่ตั้ง และระวังการนำทฤษฎีที่ไม่สอดคล้องกับบ้านเมืองไทยมาใช้ ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าหวนรำลึกถึงพระราชปรารภเมื่อกว่า ๒๐ ปีมาแล้วว่า

       "เมื่อข้าพเจ้าเข้ามารับหน้าที่ในเวลานั้น ทุกอย่างดูทรุดโทรมไปหมด วังทั้งวังเกือบจะพังลงมา เวลานั้นสงครามเพิ่งสิ้นสุดลง ข้าพเจ้าต้องค่อยๆ ก่อร่างสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ข้าพเจ้าค่อยๆ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นเราจะเรียกรัชกาลนี้ได้กระมังว่า เป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูป"
       
       ปวงข้าพระพุทธเจ้าคิดเห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า รัชกาลนี้ เป็นสมัยแห่งการปฏิรูปโดยแท้ และรู้สึกสุขใจ อีกทั้งเป็นบุญยิ่งนัก ที่ได้มีโอกาสทำราชการสนองพระเดชพระคุณ ในการค่อย ๆ ก่อร่างสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่

       ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงสถิตเป็นหลัก เป็นประธานที่ยืนยง ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ เพราะทรงเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธา ขวัญ กำลังใจ และพลังของชาติ ที่ขับเคลื่อนให้ประเทศนี้ก้าวไปด้วยความเพียร ความพอดี และความมีสติปัญญา สรรพกิจที่ทรงบำเพ็ญ และเป็นคุณาณุประโยชน์ แม้จะทรงยกให้เป็นผลงานของรัฐบาลและข้าราชการทั้งหลาย ด้วยพระมัททวะธรรม อ่อนน้อมถ่อมพระองค์ แต่รัฐบาลขอประกาศว่า ความจำเริญพัฒนา และความสงบร่มเย็นเป็นสุขของชาติบ้านเมือง ล้วนเนื่องด้วยอำนาจแห่งพระมหากรุณาธิคุณโดยแท้       คำประกาศถวายราชสดุดีของเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่ว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา เป็นคำรับรองของโลกที่ยังความปลาบปลื้มมาแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้ายิ่งนัก นับว่าทรงปฏิบัติ บริหารพระราชภาระครองแผ่นดินโดยธรรม ด้วยความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ เยี่ยงธรรมิกราชา และมหาราช สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย นิติประเพณี และทศพิธราชธรรมจรรยา ทุกประการ
       
       ณ มหามงคลสมัย ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เสวยสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสตั้งจิตอธิษฐานเปล่งสัจจะวาจาด้วยความจงรักภักดี ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกศาสนาทั่วสากลจักรวาล สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และพระราชกุศลทศบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอดเวลา ๖๐ ปี โปรดดลบันดาลอภิบาลรักษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขอจงทรงพระเกษมสำราญ นิราศภัยโรคาพาธ มีพระราชดำริในพระราชกิจใด จงสำเร็จดังพระราชปราถนา ขอพระบรมเดชานุภาพและพระราชกฤดาภินิหารจงแผ่ไพศาลขจรขจาย ขอพระบรมราชวงศ์จักรกรีจงยืนยงสถาพรมิรู้สิ้น ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงครองสิริราชสมบัติเป็นร่มฉัตรปกเกล้าปกกระหม่อมปวงข้าพระพุทธเจ้าตราบจิรัฐิติกาลเทอญ

       ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"
       
       ต่อมาประธานรัฐสภา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามของสมาชิกรัฐสภา ผู้แทนปวงชนชาวไทย ความว่า
       
       "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

       ข้าพระพุทธเจ้า นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ในนามของสมาชิกรัฐสภา ผู้แทนปวงชนชาวไทย ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลพระกรุณาแสดงความปลื้มปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น ในศุภมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี อันเป็นวาระมหาสำคัญพิเศษยิ่งของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติวันนี้

       ตลอดเวลา ๖๐ ปี ที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรม เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นทุกศาสนา ทรงมีพระราชศรัทธามั่นคง และแตกฉานในธรรมปรัชญา ซึ่งได้ทรงถ่ายทอดแก่พสกนิกร ดังที่พสกนิกรไทยได้พบในพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในหลายโอกาส อีกทั้งทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ยากที่จะมีผู้เสมอเหมือน

       ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักใคร่ในแผ่นดิน ทรงรักและห่วงใยทุกข์สุขของพสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ทรงทุ่มเทพระวรกาย ประกอบพระราชกรณียกิจ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในชนบท ถิ่นทุรกันดาร พระราชทานโครงการพระราชดำริ ตลอดจนหลักทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียง ด้านต่างประเทศได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนประเทศต่างๆ เพื่อเจริญพระราชไมตรีอย่างกว้างขวาง โดยทรงนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปยังประเทศทั้งหลาย ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างไกลและมากยิ่งขึ้น นับเป็นบุญญาอันประเสริฐของชาวไทยโดยแท้ ที่มีชีวิตผาสุกร่มเย็นบนพื้นแผ่นดินไทย ภายใต้ร่มพระบารมี สิ่งเหล่านี้นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอเนกอนันต์ต่อประชาชนชาวไทยทั้งชาติอย่างหาที่สุดมิได้

       ทรงเป็นนักปกครองที่มีพระราชปณิธานแน่วแน่ พระราชทานแนวทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องและยั่งยืน ทรงแก้ไขปัญหาของประเทศชาติยามที่บ้านเมืองประสบภาวะวิกฤติต่าง ๆ ด้วยพระปัญญา ปรีชาญาณอันสุขุม ลึกซึ้ง และกว้างไกล จนภาวะวิกฤติคลี่คลายและจบลงได้ด้วยดี บังเกิดความร่มเย็นสันติสุขแก่ชาติด้วยพระบุญญาบารมีอันยิ่งโดยแท้
       
       ข้าพระพุทธเจ้าในนามสมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ถือเป็นมหามงคลสมัย ตั้งจิตปรารถนาสมานฉันท์ ประกอบกรรมดีถวายเป็นราชสักการะเฉลิมพระเกียรติ เพิ่มพูนพระบุญญาธิการสมภารบารมีให้เป็นที่สดุดีปรากฏพระเกียรติยศแผ่ไพศาล ขอถวายสัตย์ปฏิญาณจะเทิดทูนปกปักรักษาราชบัลลังก์ และจะสนองพระราชปณิธานอันประเสริฐทุกวิถีทางให้ประเทศชาติและระบอบประชาธิปไตยดำเนินไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
       
       ในวโรกาสมหามงคลอันประเสริฐสุดนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอพลานุภาพแห่งพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากภยันตรายใดๆ ไร้โรคาพยาธิ มีพระพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ ขอได้ทรงมีพระชนมายุยั่งยืนนาน ดำรงอยู่เป็นหลักรวมใจของพสกนิกรไทย ปกเกศเป็นร่มรัฐตราบจิรัฐิติกาลเทอญ

       ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"
       
       ประธานศาลฎีกา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามของข้าราชการตุลาการความว่า
       
       "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายชาญ ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ในนามข้าราชการฝ่ายตุลาการ ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลพระกรุณา แสดงความปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น ในมหามงคลสมัยกาลพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี อันเป็นศุภวาระที่สำคัญที่สุดของคนไทยทั้งชาติ ด้วยใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงดำรงสิริราชสมบัติยาวนานกว่าสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ และยาวนานกว่ากษัตราธิราชเจ้าของประเทศใดในโลก
       
       ตลอดระยะเวลายาวนานที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงครองไอศุริยสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรไทย ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถล้ำเลิศ ก่อให้เกิดคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่ประชาชนและประเทศไทยเป็นอเนกอนันต์ ทรงดำรงอยู่ในพระคุณธรรมอันประเสริฐ ทรงสืบทอดความเป็นธรรมิกราชาธิราช ผู้ยิ่งด้วยธรรมะในการปกครองแผ่นดิน เฉกเช่นสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ที่ได้ทรงปฏิบัติมาแล้วในอดีต ทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแห่งคุณงามความดี เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ อย่างเห็นได้ชัดแจ้ง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามฐานะพระมหากษัตริย์ไทยในระบอบประชาธิปไตย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยบริสุทธิ์ เที่ยงตรง ทรงเป็นที่เคารพสักการะและศูนย์รวมจิตใจสูงสุดของอาณาประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่า
       
       ในงานด้านศาลสถิตยุติธรรม ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ด้านเนติธรรม อันเป็นธรรมนูญแห่งความยุติธรรมของแผ่นดิน โดยเฉพาะมีพระราชประสงค์ให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านกฎหมายและตุลาการ ธำรงรักษาหลักแห่งความเที่ยงตรงอย่างมั่นคง เพื่อให้กฎหมายของชาติคงความศักดิ์สิทธิ์และมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างศรัทธาในสังคม และใช้เป็นหลักปฏิบัติในการบริหารประเทศ ตลอดจนแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ โดยเฉพาะวิกฤติทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้ง อีกทั้งทรงแนะนำ ตักเตือนเหล่าตุลาการ ให้ดำรงตนอยู่ในแนวทางที่ถูกที่ควร โดยทรงมุ่งหวังที่จะให้ประเทศชาติมีความสงบร่มเย็น พัฒนาก้าวหน้าอย่างยั่งยืน พสกนิกรมีความผาสุก สมัครสมานสามัคคี และได้รับความยุติธรรมโดยเสมอภาคเท่าเทียมกัน
       
       ข้าพระพุทธเจ้าในนามข้าราชการฝ่ายตุลาการทั้งหลาย ทั้งที่ชุมนุมอยู่เฉพาะพระพักตร์ และประชุมอยู่ในมณฑลอื่นๆ ทั่วราชอาณาจักร ขอถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยดวงจิตอันมั่นคง ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ว่า จะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่สนองพระเดชพระคุณในอันที่จะประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้แก่ปวงชนอย่างเต็มกำลัง สติปัญญา และความสามารถ ด้วยความเที่ยงธรรม และสุจริตธรรม เพื่อสร้างสันติสุขร่มเย็นแก่แผ่นดินไทยสืบไป
       
       ในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ด้วยอานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันที่เคารพสักการะของพสกนิกรชาวสยาม และอานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช ได้โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเจริญสุขสถาพร สิริสวัสดิ์ ทรงเกษมสำราญยั่งยืนอยู่ในรัตนราไชศวรรย์ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลทั่วทิศานุทิศ สถิตเสถียรเป็นมิ่งขวัญของประชาชาติไทย ตลอดกาลนานเทอญ

       ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"
       
       ภายหลังประธานศาลฎีกาถวายพระพรจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ จบแล้ว ผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในมหาสมาคมทั้งหมดถวายความเคารพ ชาวพนักงานกระทั่งมโหระทึก ประโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ ๓ เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ

***

 
 
 
© Webpage Designed by thaicadet.org // Last Updated. Saturday 30 July, 2011 1:50 PM