พุทธศาสนายอมรับการมีอยู่ของจิตใจ แต่ปฏิเสธทฤษฎี “จิตอมตะ” (อาตมัน) ของศาสนาพราหมณ์ และนำเสนอทฤษฎี “อนัตตา” ขึ้นมาแทนโดยอธิบายว่า ร่างกายและจิตใจนั้นอิงอาศัยซึ่งกันและกันอย่างแยกไม่ออก จิตนั้นมีอยู่ แต่มีอยู่อย่างไม่เป็นตัวเป็นตน เป็น “อนัตตา” (ความไม่ตัวตนที่แท้จริง : non-self)
ทฤษฎี “บิ๊กแบง” (Big Bang Theory) เป็นทฤษฎีทางดาราศาสตร์ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจักรวาล
ปัจจุบันเป็นทฤษฎีที่เป็นที่เชื่อถือและยอมรับมากที่สุด ทฤษฎีบิ๊กแบงเกิดขึ้นจากการสังเกตของนักดาราศาสตร์ที่ว่า
ขณะนี้จักรวาลกำลังขยายตัว ดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้ากำลังวิ่งห่างออกจากกันทุกที
เมื่อย้อนกลับไปสู่อดีต ดวงดาวต่างๆ จะอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ และเมื่อนักดาราศาสตร์คำนวณอัตราความเร็วของการขยายตัวทำให้ทราบถึงอายุของจักรวาลและการคลี่คลายตัวของจักรวาล
รวมทั้งสร้างทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลขึ้นอีกด้วย
ตามทฤษฎีนี้ จักรวาลกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปีที่แล้ว ก่อนการเกิดของจักรวาล
ไม่มีมวลสาร ช่องว่าง หรือกาลเวลา จักรวาลเป็นเพียงจุดที่เล็กยิ่งกว่าอะตอมเท่านั้น
และด้วยเหตุใดยังไม่ปรากฏแน่ชัด จักรวาลที่เล็กที่สุดนี้ได้ระเบิดออกอย่างรุนแรงและรวดเร็วในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที
(Inflationary period) แรงระเบิดก่อให้เกิดหมอกธาตุซึ่งแสงไม่สามารถทะลุผ่านได้
(Plasma period)
ต่อมาจักรวาลที่กำลังขยายตัวเริ่มเย็นลง หมอกธาตุเริ่มรวมตัวกันเป็นอะตอม
จักรวาลเริ่มโปร่งแสง ในทางทฤษฎีแล้วพื้นที่บางแห่งจะมีมวลหนาแน่นกว่า ร้อนกว่า
และเปล่งแสงออกมามากกว่า ซึ่งต่อมาพื้นที่เหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นกลุ่มหมอกควันอันใหญ่โตมโหฬาร
และภายใต้กฎของแรงโน้มถ่วง กลุ่มหมอกควันอันมหึมานี้ได้ค่อยๆ แตกออก จนเป็นโครงสร้างของ
“กาแลกซี” (Galaxy) ดวงดาวต่าง ๆ ได้ก่อตัวขึ้นในกาแลกซี และจักรวาลขยายตัวออกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
นักดาราศาสตร์คำนวณว่าจักรวาลว่าประกอบไปด้วยกาแลกซีประมาณ ๑ ล้านล้านกาแลกซี
และแต่ละกาแลกซีมีดาวฤกษ์อย่างเช่นดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ ๑ ล้านล้านดวง และสุริยจักรวาลของเราอยู่ปลายขอบของกาแลกซีที่เรียกว่า
“ทางช้างเผือก” (Milky Galaxy) และกาแลกซีทางช้างเผือกก็อยู่ปลายขอบของจักรวาลใหญ่ทั้งหมด
เราจึงมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเลย ไม่ว่าจะในความหมายใด
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ดาวเทียม “โคบี” (COBE) ขององค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกา
ซึ่งถูกส่งขึ้นไปเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของจักรวาลโดยเฉพาะ ได้ค้นพบรังสีโบราณ
ซึ่งบ่งบอกถึงโครงสร้างของจักรวาลขณะเมื่อจักรวาลมีอายุเพียง ๓๐๐,๐๐๐ ปี นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่ยืนยันว่า
จักรวาลกำเนิดขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นของการระเบิด และคลี่คลายตัวตามคำอธิบายในทฤษฎี
“บิ๊กแบง” จริง
เมื่อได้ทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลแล้ว นักดาราศาสตร์ก็สนใจว่าจักรวาลจะสิ้นสุดลงอย่างไร
มีทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้อยู่ ๓ ทฤษฎี
ทฤษฎีแรก กล่าวว่า เมื่อแรงระเบิดสิ้นสุดลง มวลอันมหึมาของกาแลกซีต่างๆ จะดึงดูดซึ่งกันและกัน
ทำให้จักรวาลหดตัวกลับจนกระทั่งถึงกาลอวสาน
ทฤษฎีที่สอง อธิบายว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราช้า ๆ จึงเชื่อว่าน่าจะมี
“มวลดำ”(dark matter) ที่เรายังไม่รู้จักปริมาณมหึมาคอยยึดโยงจักรวาลไว้ จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆ
จนยากแก่การสืบค้น
ส่วนสตีเฟ่น ฮอว์กกิ้ง (Stephen Hawking) ได้เสนอทฤษฎีที่สามว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทฤษฎีบิ๊กแบงนั้นได้รับการเชื่อมต่อด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution Theory)
ของชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) เมื่อโลกเย็นตัวลงนั้น ปฏิกิริยาเคมีจากมวลสารในโลกในที่สุดแล้วก่อให้เกิดไอน้ำ
และไอน้ำก่อให้เกิดเมฆ และเมฆตกลงมาเป็นฝน ทำให้เกิดแม่น้ำ ลำธาร ทะเล และมหาสมุทร
วิวัฒนาการนี้มีลักษณะแบบ “ก้าวกระโดด” (Emergent Evolution) เมื่อมีสารอนินทรีย์และน้ำปริมาณมหาศาลเป็นเวลาที่ยาวนาน
ในที่สุดคุณภาพใหม่คือ “ชีวิต” ก็เกิดขึ้น
จากโครงสร้างของเซลล์ ๆ เดียว ชีวิตได้วิวัฒนาการซับซ้อนยิ่งขึ้นจนเป็นอาณาจักรพืชและสัตว์
การต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมในโลกธรรมชาติทำให้ชีวิตวิวัฒนาการแบบกาวกระโดดจากสัตว์น้ำ
เช่น หนอนทะเล และปลา มาสู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น ปลาตีน กบ และสัตว์เลื้อยคลาน
มาสู่สัตว์บก เช่น สิงห์สาราสัตว์ มาสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลิง มนุษย์
ทั้งหมดนี้กินเวลาหลายร้อยล้านปี
ในวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดของจักรวาลและโลกนี้ มีคุณภาพใหม่ที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างน้อยที่สุด
๔ ประการ คือ มวลสาร น้ำ ชีวิต และ “จิตใจ” (Mind) นักชีววิทยาสังเกตว่า รูปแบบของชีวิตที่ซับซ้อนนับตั้งแต่ปลาขึ้นมาล้วนมีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจเกิดขึ้นแล้ว
เช่น ปลาโลมา แมว สุนัข และลิง แต่ที่มีคุณภาพสูงสุดได้แก่ “จิตใจ” ของมนุษย์
จิตใจจึงเป็นปรากฏการณ์ (phenomena) ที่เป็นผลผลิตของวิวัฒนาการของจักรวาลนี้
กล่าวคือ เป็นจิตใจที่ใฝ่หาความรู้ความเข้าใจในตัวเอง มีความอิจฉาริษยา ขณะเดียวกันก็มีความเมตตากรุณา
และใฝ่หาคุณธรรม และสัจธรรม
พุทธศาสนายอมรับการมีอยู่ของจิตใจ แต่ปฏิเสธทฤษฎี “จิตอมตะ” (อาตมัน) ของศาสนาพราหมณ์
และนำเสนอทฤษฎี “อนัตตา” ขึ้นมาแทนโดยอธิบายว่า ร่างกายและจิตใจนั้นอิงอาศัยซึ่งกันและกันอย่างแยกไม่ออก
จิตนั้นมีอยู่ แต่มีอยู่อย่างไม่เป็นตัวเป็นตน เป็น “อนัตตา” (ความไม่ตัวตนที่แท้จริง
: non-self)
ทฤษฎี “บิ๊กแบง” และทฤษฎีวิวัฒนาการจึงมายืนยันทฤษฎี “อนัตตา” อันเป็นแก่นสารสาระของพุทธศาสนาอย่างน่าอัศจรรย์
***
ที่มา :หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ ** ตุลาคม พ.ศ. **** ปีที่ ** ฉบับที่ ****. คอลัมน์หน้าต่างความจริง, หน้า ๖.
เปิดให้บริการเว็บไซต์นับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547