ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีบทบัญญัติที่แยกการเมืองกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ศาสนา กับพระมหากษัตริย์ ก็จะยังคงอยู่ตามราชประเพณีโบราณ อันสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมไทย ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะมีลักษณะที่ก้าวหน้า สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของนานาอารยประเทศอีกด้วย
ขณะนี้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กำลังอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นต่างๆ
เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อนำความคิดเห็นเหล่านี้ไปประกอบการร่างรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรภายในเดือนมีนาคม
พุทธศักราช 2550 นี้ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกรกฎาคม
หรือภายใน 180 วัน นับแต่การแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ผมขอร่วมแสดงความคิดเห็นในส่วนที่เกี่ยวกับ "บทบัญญัติว่าด้วยศาสนาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"
แด่ท่านสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและประชาชนไทยทุกท่าน
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ศาสนาได้แสดงบทบาทที่เป็นคุณอนันต์ต่อมนุษย์
ขณะเดียวกันก็เป็นโทษมหันต์ต่อมนุษยชาติเช่นเดียวกัน ถ้าเกิดความขัดแย้งในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
เช่น เกิดสงครามระหว่างศาสนา (ดังเช่น สงครามครูเสด) หรือแม้กระทั่งสงครามระหว่างต่างนิกายในศาสนาเดียวกัน
(ดังเช่น สงครามอิรัก-อิหร่าน และสงครามกลางเมืองในอิรักปัจจุบัน) หรือถ้าเกิดความเห็นหรือการตีความที่ผิดในหลักการของศาสนาก็อาจนำไปสู่ความรุนแรง
เช่น ความพยายามของกลุ่มก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย หรืออาจเกิดการฆาตกรรมหมู่
เช่น ลัทธิโอมชินริเคียวในญี่ปุ่น หรือถ้าเกิดความเห็นหรือการตีความที่แตกต่างกันแม้ในศาสนาเดียวกัน
ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชน เช่น กรณีวัดพระธรรมกาย หรือแม้กระทั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างเชื้อชาติที่นับถือศาสนาต่างกัน
เช่น กรณีที่เกิดขึ้นในโคโซโว เป็นต้น
ตะวันตกเป็นดินแดนที่เรียนรู้เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างศาสนา หรือระหว่างนิกายในศาสนามายาวนาน
จากประวัติศาสตร์อันขมขื่นของสงครามศาสนา การครอบงำของศาสนจักรต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ของมนุษย์
หรือความขัดแย้งระหว่างนิกายในศาสนา ทำให้ในที่สุดแล้วประเทศตะวันตกได้แยกรัฐและศาสนาออกจากกัน
โดยรัฐจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของศาสนา (secular state) ถือว่าศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล
รัฐจะให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ประชาชนทุกคน ตราบเท่าที่การนับถือศาสนานั้นไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
และความสงบสุขของสังคมโดยรวม ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ปัจจุบันประเทศที่รุ่งเรืองในทางเศรษฐกิจ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น เป็นต้น
มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่แยกรัฐและศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจน
พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิมาเป็นเวลากว่า 2,000 ปี พุทธศาสนาจึงฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยตั้งแต่ครั้งอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา
ความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาที่สืบเนื่องมายาวนานเกิดจากความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างประชาชน
พระสงฆ์ และพระเจ้าแผ่นดิน โดยพระเจ้าแผ่นดินทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา และแก้ไขปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในวงการพุทธศาสนามาโดยตลอด ส่วนพระสงฆ์มีหน้าที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม
สั่งสอนประชาชนในด้านศีลธรรมและสัจธรรม และเป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่ประชาชน
ส่วนประชาชนก็ควบคุมพระสงฆ์ในเชิงชีวิตความเป็นอยู่ทางร่างกาย (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค) รวมทั้งการก่อสร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุ และเป็นผู้กลั่นกรองพระสงฆ์ที่จะมาพำนักอยู่ในวัดหรือสำนักสงฆ์ในชุมชนของตน
นับเป็น "ความสัมพันธ์ 3 เส้า" ที่ลงตัว ทำให้เกิดระบบตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปี
พ.ศ.2475 นั้น ทำให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญและทรงเป็นผู้นำแห่งรัฐในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
อำนาจทางการเมืองตกไปอยู่ที่นักการเมืองซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นรัฐบาล ประจวบกับเมื่อมีการประกาศใช้
"พระราชบัญญัติคณะสงฆ์" ทั้ง 3 ฉบับ ทำให้คณะสงฆ์ทั้งคณะตกอยู่ภายใต้ระบบราชการไทย
ราชการในคณะสงฆ์เป็นผู้ให้คุณให้โทษแก่พระสงฆ์ มิใช่ประชาชนดังเช่นในอดีต
ระบบการควบคุมซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนกับพระสงฆ์ กล่าวคือ ประชาชนควบคุมพระสงฆ์ในเชิงวัตถุ
และพระสงฆ์ควบคุมประชาชนในเชิงจิตใจได้ค่อยๆ หมดไป
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นมาจากพื้นฐานที่หลากหลาย และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ
ความรู้ความเข้าใจและความใส่ใจในพุทธศาสนาจึงมีไม่มากและไม่ลึกซึ้งเท่าสถาบันพระมหากษัตริย์
เมื่อนักการเมืองซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจรัฐเข้ามาทำหน้าที่ทำนุบำรุงพุทธศาสนา
และแก้ไขปัญหาในวงการพุทธศาสนาแทนองค์พระมหากษัตริย์ในอดีต ความไม่ลงตัวในเชิงโครงสร้างจึงได้เกิดขึ้น
ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ของพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้องและทันกาล เพราะนักการเมืองเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
ย่อมตัดสินใจและแก้ปัญหาไปตามแรงกดดันทางการเมือง นอกจากนี้ นักการเมืองไทยยังมิได้เป็นพุทธศาสนิกชนเพียงอย่างเดียว
แต่มีศาสนิกจากศาสนาอื่นเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ภารกิจในการทำนุบำรุงพุทธศาสนา
(รวมทั้งศาสนาอื่น) และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของพุทธศาสนา (รวมทั้งศาสนาอื่น)
เกิดความสับสนยิ่งขึ้น
ทางออกของเรื่องนี้น่าจะได้แก่การกลับไปหา "ความสัมพันธ์ 3 เส้า" ที่ลงตัวดังเช่นครั้งในอดีต
โดยการกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แยก "การเมือง" กับ "ศาสนา" ออกจากกันให้ชัดเจน
และสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรัฐและเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ควรจะเป็นผู้ทำนุบำรุงพุทธศาสนา แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะต่างๆ
และแก้ไขปัญหาของพุทธศาสนาต่อไป (โดยปัจจุบันครอบคลุมถึงศาสนาอื่นด้วย) ดังนั้น
บทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องศาสนาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงควรจะคงมาตราที่ว่า
"พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก" ไว้เพียงมาตราเดียว
นอกเหนือจากการให้หลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ประชาชน
และการบัญญัติให้แยกรัฐ (ทางการเมือง) ออกจากศาสนาให้ชัดเจน
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แยกการเมืองกับศาสนาออกจากกันแล้ว ศาสนาก็จะเป็นเรื่องของภาคประชาชนโดยสมบูรณ์
โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นหลักชัยของศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าและทุกศาสนา รัฐทางการเมือง
(หรืออำนาจทางการเมือง) จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับศาสนาไม่ได้อีกต่อไป ศาสนาจะกลับคืนไปสู่ประชาชนและชุมชน
ระบบราชการในคณะสงฆ์ก็จะสิ้นสุดลง "พระราชบัญญัติคณะสงฆ์" "พระราชบัญญัติการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา"
ในพุทธศาสนา และ "พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรอิสลาม" "พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจญ์"
"พระราชบัญญัติธนาคารอิสลาม" ในศาสนาอิสลาม ก็ควรจะถูกยกเลิกพร้อมกันไป รวมทั้งหน่วยงานราชการ
เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนา เป็นต้น
ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีบทบัญญัติที่แยกการเมืองกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ศาสนา กับพระมหากษัตริย์ ก็จะยังคงอยู่ตามราชประเพณีโบราณ
อันสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมไทย ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะมีลักษณะที่ก้าวหน้า
สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของนานาอารยประเทศอีกด้วย
***
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๐ ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐๕๖๔. คอลัมน์หน้าต่างความจริง, หน้า ๖.
เปิดให้บริการเว็บไซต์นับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547