อิทธิพลของตะวันตกในรูปของอาณานิคมฝรั่งเศสและการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์และการแบ่งแยกในสังคมเวียดนาม ลัทธิคอมมิวนิสต์ในเวียดนามซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชน โดยสัญญาที่จะนำเอกราชมาสู่ประเทศ กับความสมานฉันท์และความยุติธรรมมาสู่สังคม ประสบความสำเร็จในประการแรกแต่ล้มเหลวในประการหลัง ปัจจุบันเวียดนามภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์ยอมรับระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ในปี พ.ศ.2538 เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงถึงร้อยละ 8 ต่อปีอย่างต่อเนื่อง เวียดนามได้กลายเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญในหมู่ประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เวียดนามในระยะแรกครอบครองพื้นที่เพียงสันดอนสามเหลี่ยมของแม่น้ำแดง ซึ่งเป็นใจกลางของเวียดนามเหนือเท่านั้น
ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชรัฐนี้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งแห่งอาณาจักรจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น
(Han Dynasty) ซึ่งชาวจีนเรียกว่า "หนานเย่" (Nan-yueh) หรือ "หนานเวียด"
(Nan-viet) ในระยะเวลากว่า 1,000 ปีภายใต้การปกครองของจีน เวียดนามคุ้นเคยกับสถาบันการเมืองและสังคม
ระบบการเขียน การศึกษา และศิลปวัฒนธรรมแบบจีน
เวียดนามได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนามหายาน ซึ่งกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เวียดนามแตกต่างไปจากเพื่อนบ้านในเอเชียอาคเนย์
พุทธศาสนามหายานได้ผสมผสานกับปรัชญาขงจื๊อและเต๋า รวมทั้งความเชื่อท้องถิ่นของเวียดนาม
มหายานในเวียดนามไม่ได้พัฒนาเครือข่ายของสถาบันสงฆ์ อันอาจก่อให้เกิดพลังทางการเมือง
ดังที่ปรากฏในพุทธศาสนาเถรวาท
อิทธิพลของจีนที่มีต่อเวียดนามขึ้นถึงระดับสูงสุดในสมัยราชวงศ์ถัง (T"ang
Dynasty, ค.ศ.618-907) อย่างไรก็ตามเวียดนามไม่เคยสูญเสียความรู้สึกแห่งรัฐชาติของตน
ในปี ค.ศ.939 ระหว่างที่เกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองในประเทศจีน เวียดนามได้ฉวยโอกาสนั้นประกาศอิสรภาพและจัดตั้งรัฐเวียดนามขึ้น
หลังการประกาศอิสรภาพ ประวัติศาสตร์เวียดนามมีลักษณะเด่นสองประการ ประการแรกเวียดนามได้พัฒนารัฐขงจื๊อและเจริญรอยตามแบบอย่างวัฒนธรรมจีน
โดยมีรูปแบบรัฐบาลคล้ายคลึงกับจีนเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น พระจักรพรรดิเวียดนามที่กรุงฮานอย
(Hanoi) อันเป็นเมืองหลวง ทรงบริหารเหล่าข้าราชการที่ได้รับการศึกษาจากตำราขงจื๊อ
กฎหมาย โครงสร้างการบริหาร วรรณคดี และศิลปกรรมล้วนตามอย่างจีนทั้งสิ้น ขณะที่ชนชั้นที่มีการศึกษามักนิยมใช้ภาษาจีนมากกว่าภาษาเวียดนาม
ประการที่สอง เวียดนามได้แผ่ขยายอิทธิพลลงมาทางใต้อันก่อให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมขึ้น
ดินแดนทางทิศใต้ของเวียดนามมิได้อยู่ในเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมขงจื๊อแต่อย่างใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาชนกลุ่มน้อยต่างๆ ซึ่งอาศัยอยู่บนที่ราบสูงของเวียดนาม
(Montagnard) ทำให้เกิดความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างชาวเหนือกับชาวใต้ขึ้นในเวียดนาม
โดยชาวเหนือส่วนใหญ่มีอุปนิสัยอนุรักษ์ เชื่อฟังกลุ่ม สงวนท่าที และเคารพชีวิตทางสติปัญญา
ส่วนชาวใต้ชอบออกสังคม รักอิสระ อุปนิสัยเปิดเผย และชอบเลือกแนวทางศาสนาด้วยตนเอง
การฟื้นฟูวัฒนธรรมขงจื๊อ
สภาพทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามที่มีลักษณะแคบเรียวยาวตามชายฝั่งทะเล (ความยาวกว่า
1,000 กิโลเมตร) ทำให้พระจักรพรรดิเกียลอง (Gia Long, ครองราชย์ ค.ศ.1802-1820)
ทรงเห็นถึงความยากลำบากในด้านการปกครองและการป้องกันประเทศ จึงทรงย้ายเมืองหลวงจากฮานอย
มาอยู่ที่เมืองเว้ (Hue) ทางตอนกลางของประเทศ โดยทรงสร้างพระราชวังตามแบบอย่างพระราชวังในกรุงปักกิ่ง
(เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น)
จากทศวรรษที่ 1830 เป็นต้นมา ได้เกิดกบฏขึ้นบ่อยครั้งเพื่อต่อต้านการบริหารงานแบบขุนนางจีนเก่าที่เก็บภาษีสูงแต่ไร้ประสิทธิภาพ
การฟื้นฟูแบบฉบับลัทธิขงจื๊อก็ไม่สามารถทำให้รัฐบาลขุนนางรับมือกับการท้าทายจากตะวันตกได้อย่างจริงจัง
ชนชั้นปัญญาชนบางคนเริ่มเห็นถึงความจำเป็นในการศึกษาตะวันตกแต่ก็เป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น
พระจักรพรรดิเทียวทรี (Thieu Tri, ครองราชย์ ค.ศ.1841-47) และพระจักรพรรดิทูดัก
(Tu Duc, ครองราชย์ ค.ศ.1847-83) ทรงดำเนินวิเทโศบายผิดพลาดอย่างมหันต์ ด้วยการเผชิญหน้ากับตะวันตกและปราบปรามศาสนาคริสต์
มิชชันนารีคาทอลิกฝรั่งเศสได้แสดงบทบาทในเวียดนามมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่
17 ภายในกลางศตวรรษที่ 19 ประมาณกันว่ามีคาทอลิกในเวียดนามถึง 450,000 คน
รัฐบาลเวียดนามหวั่นเกรงศาสนาที่มีการจัดตั้งในรูปองค์กรทุกประเภท ว่าจะเป็นภัยต่ออำนาจรัฐในแบบฉบับขงจื๊อ
และศาสนาคริสต์ดูเหมือนว่าจะเป็นภัยในลักษณะนั้น การรณรงค์ปราบปรามจึงเกิดขึ้นหลายครั้ง
มีบาทหลวงและชาวคริสต์หลายพันคนเสียชีวิต และหมู่บ้านชาวคริสต์ถูกทำลาย การปราบปรามนี้สร้างความตกตะลึงแก่ชาวคาทอลิกในฝรั่งเศส
และกลายเป็นข้ออ้างของฝรั่งเศสในการเข้ายึดครองเวียดนาม
วัฒนธรรมและสังคมการเมืองเวียดนามยุคสมัยใหม่
ในยุคอาณานิคม เวียดนามกลายเป็นดินแดนแห่งความสับสนอลหม่านทั้งทางสังคมและวัฒนธรรม
การพังทลายของรัฐบาลในแบบฉบับขงจื๊อ และชัยชนะของ "ความป่าเถื่อน" จากตะวันตก
ทำให้ความเชื่อและค่านิยมในขนบประเพณีดั้งเดิมของเวียดนามเกิดปัญหา ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางของเวียดนามเริ่มศึกษาตามแบบตะวันตกอย่างกระตือรือร้น
(แทนที่การศึกษาในแบบฉบับขงจื๊อดั้งเดิม)
ความแตกแยกทางสังคมวัฒนธรรมได้เกิดขึ้นในเวียดนาม บ้างก็เลือกวิธีคิดและการแสดงออกแบบตะวันตก
บ้างก็มองไปที่จีนเพื่อสร้างโลกในแบบฉบับขงจื๊อขึ้นมาใหม่ บ้างก็มองไปที่ญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตามในทศวรรษที่ 1920 วงการวิชาการเวียดนามได้ลงประชามติที่จะใช้ตัวอักษรโรมัน
(quoc ngu) แทนตัวอักษรจีน (Chu Nom) ในการเขียนภาษาเวียดนาม อักษรโรมันช่วยให้วรรณกรรมสมัยใหม่ของเวียดนามเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ
ทำให้หนังสือพิมพ์และหนังสือทางการเมืองเข้าถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ความเคลื่อนไหวที่เด่นที่สุด (ในแง่จำนวน) ในหมู่ประชาชนเวียดนามได้แก่ความเคลื่อนไหวทางศาสนา
เจาได (Cao Dai) นิกายทางศาสนาที่ตั้งขึ้นทางใต้ในปี ค.ศ.1925 โดยอ้างว่าจะรวมตะวันออก
ตะวันตก และเอกลักษณ์วัฒนธรรมเวียดนามเข้าด้วยกัน มีสานุศิษย์กว่า 1 ล้านคนในช่วงปลายทศวรรษที่
1930 ขณะนั้นพุทธศาสนานิกายฮวาเฮา (Hoa Hao) ก็มีสานุศิษย์เป็นจำนวนมากทางตอนใต้เช่นเดียวกัน
และศาสนาคริสต์ก็อ้างว่ามีผู้ติดตามถึงร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (ประมาณ
30 ล้านคนในขณะนั้น) ความเคลื่อนไหวทางศาสนาเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาแก่ขบวนการชาตินิยมเวียดนามในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ระหว่างสงครามเวียดนาม โลกต้องตกตะลึงเมื่อพระภิกษุในพุทธศาสนาจำนวนหนึ่งได้เผาตัวตายเพื่อประท้วงสงครามและรัฐบาล
ผู้นำชาวพุทธได้สร้างขบวนการต่อสู้ทางการเมือง โดยใช้ปรัชญาการเมืองและสังคมตามหลักการของพุทธศาสนา
เรียกร้องให้ยุติสงครามและนำสันติภาพกลับคืนสู่ประเทศ ขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของชาวพุทธเวียดนามนี้เรียกกันว่า
"พุทธสังคมนิยม" (Buddhist Socialism)
อิทธิพลของตะวันตกในรูปของอาณานิคมฝรั่งเศสและการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา
ก่อให้เกิดความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์และการแบ่งแยกในสังคมเวียดนาม ลัทธิคอมมิวนิสต์ในเวียดนามซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชน
โดยสัญญาที่จะนำเอกราชมาสู่ประเทศ กับความสมานฉันท์และความยุติธรรมมาสู่สังคม
ประสบความสำเร็จในประการแรกแต่ล้มเหลวในประการหลัง ปัจจุบันเวียดนามภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์ยอมรับระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม
ในปี พ.ศ.2538 เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ASEAN) ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงถึงร้อยละ 8 ต่อปีอย่างต่อเนื่อง
เวียดนามได้กลายเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญในหมู่ประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
***
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.
๒๕๕๐ ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐๖๒๐. คอลัมน์หน้าต่างความจริง, หน้า ๖.
เปิดให้บริการเว็บไซต์นับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547