เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากเมืองในเวลากลางคืน ทรงม้าชื่อ “ม้ากัณฐกะ” และมีนายฉันนะตามเสด็จ
เมื่อเจ้าชายเสด็จทรงม้าพระที่นั่งผ่านประตูเมือง พระยามารวัสวดีได้ปรากฏกายขึ้นตรงพระพักตร์
เพื่อห้ามมิให้เจ้าชายออกบวช แต่เจ้าชายก็มิได้ฟัง จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อหาหนทางดับทุกข์
เจ้าชายสิทธัตถะพร้อมด้วยนายฉันนะ ได้ทรงม้าพระที่นั่งไปตลอดคืน จนถึงรุ่งสางที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ซึ่งเป็นเขตแดนคั่นเมืองทั้ง ๓ คือ กบิลพัสดุ์ สาวัตถี และไพศาลี ทรงพาม้าและมหาดเล็กข้ามแม่น้ำ
แล้วเสด็จลงจากหลังม้าไปประทับนั่งบนหาดทรายอันขาวดุจแผ่นเงิน พระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์แสงดาบ
พระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (ยอดปลายพระเกศา) กับพระโมฬี (มุ่นพระเกศา หรือผมที่มุ่นเป็นมวย)
แล้วทรงตัดด้วยพระขรรค์แสงดาบ เหลือพระเกศาไว้ยาวประมาณ ๒ นิ้ว เป็นวงกลมเวียนไปทางขวา
เสร็จแล้วทรงเปลื้องพระภูษาเครื่องทรงออก แล้วทรงครองผ้า (นุ่งห่มผ้า) เช่นนักบวช
ที่ฆฏิการพรหม นำมาถวายพร้อมกับเครื่องบริขารอย่างอื่น จากนั้นทรงอธิฐานเพศเป็นนักบวชที่ชายหาดริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ซึ่งการออกบวชครั้งนี้เรียกว่า “การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์” แปลว่า “การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่”
จากนั้นทรงมอบพระภูษาทรง และม้าพระที่นั่งให้นายฉันนะกลับไปกราบทูลแจ้งแก่พระราชบิดาให้ทรงทราบ
นายฉันนะมีความอาลัยยิ่งนัก ถึงกับร้องไห้กลิ้งเกลือแทบพระบาทไม่ยอมกลับ แต่ขัดรับสั่งไม่ได้
เจ้าชายสิทธัตถะ (พระมหาบุรุษ) ทรงลูบหลังม้าที่กำลังจะกลับสู่เมือง ม้าน้ำตาไหลอาบหน้า
แล้วแลบลิ้นออกเลียพื้นฝ่าพระบาทของพระองค์ ผู้ทรงเคยเป็นเจ้าของ ทั้งม้ากัณฐกะและนายฉันนะต่างน้ำตาอาบหน้า
ข้ามน้ำกลับมาเมือง แต่พอลับพระเนตรของพระมหาบุรุษ ม้ากัณฐกะก็หัวใจแตกออกเป็น
๗ พรรษา หรือหัวใจวายตาย ส่วนนายฉันนะก็ร้องไห้กลับเมืองกบิลพัสดุ์ตามลำพัง