อิสลามกับสังคมการเมืองในอุษาคเนย์

ปัจจุบันมุสลิมในอุษาคเนย์กำลังแสวงหาทิศทางของตนเอง ระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี อิสลามซึ่งกลายเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญ และตะวันตกที่เป็นต้นแบบของเทคโนโลยีและความทันสมัย ซึ่งมีบทบาทและอิทธิพลต่อโลกทั้งมวล
  

ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์
อาจารย์ประจำภาควิชามนุษยศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อครั้งที่ "อาณาจักรมัชปาหิต" ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูได้แผ่อิทธิพลในหมู่เกาะชวา ทำให้อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งเป็นอาณาจักรพุทธศาสนามหายานเสื่อมลง ชาวศรีวิชัยได้อพยพไปตั้งเมืองใหม่ที่ "มาลักกา" ในแหลมมลายู ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นเค้าของวัฒนธรรมมลายู ในศตวรรษที่ 14 พ่อค้าอาหรับได้นำศาสนาอิสลามมาเผยแพร่ โดยเกลี้ยกล่อม "พระเจ้าองควิชัย" แห่งมัชปาหิตไม่สำเร็จ แต่เกลี้ยกล่อมพระราชโอรสชื่อ "ระเด่นปาตา" ให้เข้ารีตอิสลามได้ ระเด่นปาตากระทำปิตุฆาต สถาปนาตนเองเป็นสุลต่านและเผยแพร่อิสลาม มัชปาหิตจึงกลายเป็นดินแดนอิสลามนับแต่นั้น

ต่อมาผู้ปกครองบรูไนก็ได้เข้ารีตนับถือและเผยแพร่อิสลาม ซึ่งก็เช่นเดียวกับ "พระเจ้าปาร์ไบสุรา" แห่งมาลักกาที่เข้ารีตนับถือและเผยแพร่อิสลาม โดยเปลี่ยนสถานะเป็นสุลต่าน (sultan) ผู้มีอำนาจทั้งทางฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายศาสนจักร สุลต่านผู้เปรียบเหมือน "สมมุติเทพ" เป็นผลรวมของวัฒนธรรมฮินดูในเอเชียอาคเนย์กับแนวคิดอิสลามจากตะวันออกกลาง

อิสลามในอินโดนีเซีย

ต้นศตวรรษที่ 20 ภายหลังจากการสู้รบกับอาณาจักรอิสลามแห่งอาเจะห์ (Aceh) อย่างดุเดือดและยาวนานกว่า 40 ปี รัฐบาลอาณานิคม (Netherlands East Indies) ของเนเธอร์แลนด์ซึ่งตั้งเมืองหลวงที่ปัตตาเวีย (Batavia) ได้เฝ้าติดตามผู้นำศาสนาอิสลามอย่างระมัดระวัง โดยมีการแยกแยะระหว่างอิสลามที่เป็นศาสนากับอิสลามที่เป็นพลังทางการเมือง มีการเข้มงวดกับเจ้าหน้าที่สุเหร่า โรงเรียนอิสลาม และครูสอนศาสนา เพื่อมิให้ไปปลุกระดมประชาชนเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ ถ้ามีการปลุกระดมทางการเมืองก็จะถูกปราบปรามอย่างเด็ดขาด

ซูการ์โน (Sukarno) ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้ประกาศหลัก "ปัญจศีล" (pancasila) อันประกอบด้วย "ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เอกภาพของประเทศ มนุษยธรรม ประชาธิปไตย และสังคมที่เป็นธรรม" ให้เป็นอุดมการณ์ทางการเมือง ภายหลังสิ้นสุดระบอบเผด็จการซูฮาร์โต (Suharto) การเมืองอินโดนีเซียก็เข้าสู่ความสับสนวุ่นวาย วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.2001 เมกาวตี ซูการ์โนบุตรี (Megawati Sukarnoputri) บุตรสาวของซูการ์โน ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ผู้นำที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกเริ่มมองเห็นว่า อิสลามที่ฟื้นตัวขึ้นใหม่กำลังกลายเป็นภัยที่คุกคามอำนาจรัฐ

ในช่วงแห่งการปกครองของเมกาวตีนั้น กลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์ (Jemaah Islamiah) ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากกลุ่มอัลเคด้า (al Qae-da) ได้ลอบวางระเบิดสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองคูตา (Kuta) บนเกาะบาหลี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.2002 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 200 คน (เป็นชาวออสเตรเลีย 88 คน และชาวอังกฤษ 26 คน) นับเป็นการท้าทายนโยบายของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศ และความร่วมมือกับตะวันตกในการต่อต้านการก่อการร้าย การโจมตีทำให้เกิดผลเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงทั้งต่อบาหลี และต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

ศาสนาในมาเลเซีย

มาเลเซียมีชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกว่า 60 ชาติพันธุ์ แต่เส้นแบ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลเมืองที่เป็น "ภูมิบุตร" (Bumiputera) ประกอบด้วยเชื้อสายมาเลย์ (ร้อยละ 64) มีวัฒนธรรมพื้นเมืองของแหลมมลายูและบอร์เนียวในเขตมาเลเซีย กับพลเมืองที่ "มิใช่ภูมิบุตร" (non-Bumiputera) ส่วนใหญ่แล้วก็คือเชื้อสายจีน (ร้อยละ 27) และอินเดีย (ร้อยละ 8) ซึ่งมีสถานะเป็นพลเมืองชั้นสอง แม้ว่าทั้งชาวจีนและอินเดียจะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์มาเลเซียมาตั้งแต่เริ่มต้นก็ตาม

ในปี ค.ศ.1969 ชาวมาเลย์ได้ก่อเหตุจลาจลบุกทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของชาวจีนในกัวลาลัมเปอร์ การจลาจลดำเนินอยู่ 4 วัน มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และทรัพย์สินถูกทำลายเป็นจำนวนมาก รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ อำนาจต่อรองของชาวจีนและชาวอินเดียในมาเลเซียได้ลดลงอย่างมาก รัฐบาลมาเลเซียดำเนินนโยบายสร้างรัฐมาเลย์อย่างเปิดเผย ผลประโยชน์ของชาวมาเลย์กลายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล และ "อุมโน" (UMNO) กลายเป็นพรรคการเมืองที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในมาเลเซีย

ภายใต้การนำของมหาธีร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) นายกรัฐมนตรีคนที่สี่ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามถูกเพิกถอนเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อให้นักเรียนจำนวนกว่า 126,000 คน กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาตามปกติของรัฐ โรงเรียนเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นแหล่ง "ล้างสมอง" (ตามคำพูดของมหาธีร์เอง) ที่บิดเบือนคำสอนทางศาสนาเพื่อผลทางการเมือง ทำให้เด็กมุสลิมกลายเป็นคนนิยมความรุนแรง นอกจากนี้ มหาธีร์ยังพยายามแยกศาสนาออกจากหลักสูตรของโรงเรียน โดยให้ไปเรียนในวันหยุดและจะต้องไม่มีเนื้อหาทางการเมืองเข้าไปปะปนอยู่ด้วย นับเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะควบคุมการสอนศาสนาอิสลามในมาเลเซีย

วัฒนธรรมศาสนาของชาวมาเลย์ที่เคยสงบมาช้านาน ได้ถูกขบวนการ ดักวาห์ (dakwah) ปลุกระดมเพื่อให้มาเลเซียเป็นรัฐอิสลาม รัฐบาลมาเลเซียต้องออกกฎหมายควบคุมองค์กรทางศาสนาและคำสอนขององค์กรเหล่านี้ และปรามบุคคลที่ต้องการสร้างความแตกแยกทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพาส (Pas) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เน้นนโยบายสร้างรัฐอิสลาม ภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายนในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลมหาธีร์ได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายใน (Internal Security Act) เพื่อควบคุมตัวมุสลิมหัวรุนแรงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุกาณ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลตะวันตกลดการวิพากษ์วิจารณ์มหาธีร์ลง

อิสลามในบรูไน

บรูไนได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาจากอินเดียในสหัสวรรษแรก และได้ส่งเครื่องราชบรรณาการแก่พระจักรพรรดิจีน ต่อมาบรูไนอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) ศตวรรษที่ 15 ผู้ปกครองบรูไนทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งมาลักกา จึงได้เข้ารีตนับถืออิสลาม ทำให้เกิดการแพร่ขยายศาสนาอิสลามไปตามหมู่เกาะต่างๆ จนกระทั่งถึงภาคใต้ของหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับศาสนาคริสต์คาทอลิก ซึ่งสเปนได้นำเข้ามาเผยแพร่ภายหลังจากที่ได้ครอบครองเกาะลูซอน ทางภาคกลางของฟิลิปปินส์

บรูไนเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แต่ถูกญี่ปุ่นยึดครองในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามบรูไนก็กลับเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง โดยสุลต่านปกครองภายใต้ที่ปรึกษาชาวอังกฤษและกองทหารกุรข่า (Gurkha) บรูไนได้รับเอกราชในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1984 นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา มีความพยายามที่จะสร้างชาติและวัฒนธรรมภายใต้คำขวัญที่ว่า "มาเลย์-อิสลาม-กษัตริย์" (Malayu-Islam-Beraja) แต่ปัญหามีอยู่ว่าชนชั้นกลางซึ่งนับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นนั้น จะยอมรับการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อไปอีกสักเท่าใด ในเมื่อสถานะทางการศึกษาและการเงินของชนชั้นกลางเหล่านี้มีสูงขึ้นตามลำดับอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป

ดินแดนหมู่เกาะในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม โดยมีศาสนาฮินดูตั้งมั่นที่เกาะบาหลี แต่อิสลามในอุษาคเนย์มีความหลากหลายสูง ทั้งระบบความเชื่อและการปฏิบัติ นับตั้งแต่ชาวอาเจะห์ที่เคร่งครัดและแสดงออกถึงความเป็นมุสลิมอย่างเปิดเผย จนถึงประชาชนในชวาภาคกลางและภาคตะวันออกที่นับถืออิสลาม โดยผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและศาสนาที่มีมาแต่เดิม แต่ด้วยแนวคิดสุดโต่งแห่ง "ลัทธิหวนคืนสู่สังคมเก่า" (Fundamentalism) จากตะวันออกกลางซึ่งต่อต้าน "ความทันสมัย" (Modernity) แบบตะวันตก ทำให้มีการนำศาสนาอิสลามมาเป็นเครื่องมือในการตีความให้เข้ากับเงื่อนไขท้องถิ่นเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตน ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงและความขัดแย้งขึ้นในอุษาคเนย์ รวมทั้งหมู่เกาะมินดาเนาในฟิลิปปินส์ และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ปัจจุบันมุสลิมในอุษาคเนย์กำลังแสวงหาทิศทางของตนเอง ระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี อิสลามซึ่งกลายเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญ และตะวันตกที่เป็นต้นแบบของเทคโนโลยีและความทันสมัย ซึ่งมีบทบาทและอิทธิพลต่อโลกทั้งมวล
--
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ ** คอลัมน์หน้าต่างความจริง, หน้า 6.

THAI CADET

 

© 2547-2567. จัดทำเป็นวิทยาทาน โดย THAI CADET

Made with Pingendo Free  Pingendo logo