ชาวพุทธในที่ประชุมได้เรียกร้องวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สันติสามประการในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน ประการแรก ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดโลกภายใต้ระบบทุนนิยมข้ามชาติ ควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจทางเลือก (เช่น พุทธเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น) เพื่อให้เกิดโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ยุติธรรม เพื่อว่าประชาชนในโลกที่สามรวมทั้งชาวมุสลิมจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น ประการที่สอง ประชาชนทุกเชื้อชาติ เพศ วัย สัญชาติ และศาสนาควรจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติในโลกแห่งความหลากหลายนี้ ด้วยความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน โดยปราศจากการคุกคามทำร้ายกัน ควรถือว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ประการที่สาม การตีความคัมภีร์ทางศาสนาในโลกปัจจุบัน ไม่ควรถูกกระทำไปในลักษณะที่สร้างอุดมการณ์ทางศาสนาอันนำไปสู่ความรุนแรงหรือสงคราม แต่ควรนำไปสู่การสร้างอุดมการณ์ทางศาสนาที่มุ่งเน้นสันติสุขแก่มนุษย์และสันติภาพแก่โลก
ในระหว่างวันที่ 24-30 มีนาคม พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา มีการประชุมสภาโลกครั้งที่
19 ของสมาคมนานาชาติเพื่อประวัติศาสตร์ศาสนา (The 19th World Congress of
the International Association for the History of Religions หรือ IAHR) ในหัวข้อเรื่อง
"ศาสนา : ความขัดแย้งและสันติภาพ" (Religion : Conflict and Peace) ณ กรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่น โดยมีเจ้าชายมิคาสะ (Prince Mikasa) พระอนุชาในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต
(Hirohito) พระจักรพรรดิพระองค์ก่อนของญี่ปุ่น พร้อมด้วยพระชายาทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม
และมีนักวิชาการจาก 63 ประเทศทั่วโลกกว่า 1,500 คนเข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมได้พิจารณาถึงประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวาง เช่น "มิติทางศาสนาเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ"
"เทคโนโลยี ชีวิต และความตาย" "ศาสนายุคโลกาภิวัตน์และวัฒนธรรมท้องถิ่น" "ขอบเขตและการแบ่งแยก"
และ "วิธีกับทฤษฎีในการศึกษาศาสนา" เป็นต้น แต่ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งได้แก่
การปะทะทางอารยธรรมที่มีมิติทางศาสนารวมอยู่ด้วย ในยุคสงครามเย็นศาสนาถูกมองว่าเป็นปัจจัยสร้างสรรค์ในการนำสันติภาพและเสถียรภาพมาสู่โลก
แต่หลังยุคสงครามเย็นมีความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับศาสนาในอีกด้านหนึ่งว่า
อุดมการณ์ทางศาสนาจะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการปะทะระหว่างอารยธรรม
ข้อสรุปจากที่ประชุมเกี่ยวกับประเด็นนี้บ่งชี้ว่า วิกฤตการณ์ของโลกในปัจจุบันอาจมองได้อย่างน้อยจากสองทรรศนะด้วยกันคือ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจการเมืองของโลก และสิ่งที่เรียกว่า "การปะทะทางอารยธรรม"
จากทรรศนะทางเศรษฐกิจการเมือง โลกได้ถูกรวมตัวกันชั่วคราวในกรอบของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดโลก
ภายใต้ระบบทุนนิยมข้ามชาติ อุดมการณ์ทุนนิยมในเรื่อง "การแข่งขันอย่างเสรี"
(free competition) ค่อนข้างจะเป็นอุดมคติ ในโลกแห่งความเป็นจริงทุนข้ามชาติกลืนกินทุนท้องถิ่นในโลกที่สาม
และกลืนกินทุนชาติในระดับหนึ่ง อันนำไปสู่ระบบ "ทุนนิยมผูกขาด" ซึ่งเป็นจักรวรรดินิยมโดยธรรมชาติของมัน
ผลที่ตามมาก็คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของโลกได้ทำให้ประเทศที่มั่งคั่งมั่งคั่งขึ้น
ประเทศที่ยากจนยากจนลง และภายในขอบเขตของประเทศหนึ่งๆ คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง
ในยุคสงครามเย็นนั้นคนจนและประเทศที่ยากจนถูกหล่อเลี้ยงด้วยความหวังของ "อุดมการณ์สังคมนิยม"
แต่เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงอุดมการณ์สังคมนิยมก็ได้สิ้นสุดลงด้วย แต่ "อุดมการณ์ทางศาสนา"
ได้ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ ความไม่ยุติธรรมในทางเศรษฐกิจดังกล่าวข้างต้น ผนวกกับลักษณะเฉพาะบางประการของศาสนาอิสลาม
และไฟปะทุของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้มุสลิม (บางกลุ่ม) ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนในโลกที่สาม
เข้าโจมตีสหรัฐอเมริกาอันเป็นศูนย์กลางของระบบทุนนิยมโลก สงครามรอบใหม่ระหว่างประชาชนในโลกที่สามและประเทศโลกที่หนึ่งที่มั่งคั่งจึงได้เกิดขึ้น
เมื่อมองจากทรรศนะที่สอง การปะทะของอารยธรรมอิสลามกับอารยธรรมตะวันตกอาจมองได้ว่า
มีรากฐานมาจากความแตกต่างทางด้านการให้คุณค่ากับอุดมการณ์ อิสลามในฐานะศาสนาได้ให้โลกทรรศน์และคุณค่าชุดหนึ่งแก่ผู้ที่นับถือ
ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ถือว่าศาสนาของตนเป็นเพียงศาสนาเดียวเท่านั้นที่ครอบครองสัจธรรมสูงสุดไว้
ดังนั้นโลกทรรศน์และคุณค่าของศาสนาอิสลามจึงสมบูรณ์และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ทรรศนะเช่นนี้นำไปสู่แนวคิดแบบ "ลัทธิหวนคืนสู่สังคมเก่า" (Fundamentalism)
ในทางตรงข้ามตะวันตกเป็นผู้นำของ "ความทันสมัย" (Modernity) อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกทรรศน์และคุณค่าในระดับโลก
ดังนั้นส่วนหนึ่งของการปะทะก็คือ การปะทะระหว่าง "ลัทธิหวนคืนสู่สังคมเก่า"
กับ "ความทันสมัย"
อุดมการณ์ทางศาสนาบางครั้งกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญ ที่อาจนำไปสู่สันติภาพก็ได้หรือนำไปสู่ความรุนแรงก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความ ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์จากอุดมการณ์ของศาสนาชินโต ในการขับเคลื่อนกองทัพญี่ปุ่นให้เข้ารุกรานเอเชีย
และในการป้องกันประเทศในเวลาต่อมา จากการตีความคัมภีร์ของศาสนาชินโต พระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
ดังนั้นพระจักรพรรดิจึงทรงเป็นเทพเจ้า และชาวญี่ปุ่นก็เป็นเชื้อชาติที่ถูกเลือกสรรแล้วโดยพระเจ้าให้ทำหน้าที่ปกครองโลก
ถ้าบัญญัติแห่งสวรรค์นี้ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงโดยสันติวิธีแล้ว ก็ไม่เป็นการปราศจากเหตุผลที่จะกระทำให้สำเร็จลุล่วงด้วยสงคราม
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดนิวเคลียร์สองลูกในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง
พระจักรพรรดิฮิโรฮิโต (Hirohito) ทรงประกาศทางวิทยุทั่วประเทศที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นตกตะลึงทั้งชาติว่า
สายใยแห่งความผูกพันระหว่างพระจักรพรรดิกับประชาชนญี่ปุ่น ไม่อาจตั้งอยู่บนคัมภีร์อันเป็นตำนานเทพนิยายได้อีกต่อไป
พระจักรพรรดิมิได้ทรงเป็นเทพเจ้า แต่ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ศาสนาชินโตถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน กล่าวคือ
"ชินโตแห่งรัฐ" (State Shintoism) ซึ่งได้ให้อุดมการณ์อันนำไปสู่ลัทธิทหาร
ถูกยุบเลิกไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และ "ชินโตแห่งนิกาย" (Sectarian Shintoism)
ซึ่งเป็นความเชื่ออันสันติส่วนบุคคล ได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่ต่อไปในฐานะศาสนา
รัฐธรรมนูญใหม่ของญี่ปุ่นซึ่งเขียนโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แบ่งแยกรัฐกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจน
ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าศาสนาจะไม่สามารถให้อุดมการณ์อันนำไปสู่สงครามรอบใหม่ได้อีก
การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในยุคปัจจุบัน โดยผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมต่อชาวยิวและชาวตะวันตก
ได้เตือนให้ชาวโลกหวนระลึกถึงฝูงบิน กามิกาเซ่ ของญี่ปุ่นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
มีคำถามบางประการที่กำลังรอคอยคำตอบ เช่น การตีความศาสนาอิสลามในบางลักษณะ
จะสามารถให้อุดมการณ์อันนำไปสู่ลัทธิทหาร (ไม่ว่าจะเต็มรูปแบบหรือลงใต้ดินก็ตาม)
ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับที่ศาสนาชินโตได้ให้แก่ญี่ปุ่นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองหรือไม่
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช คิดอะไรอยู่ในใจ เมื่อท่านประกาศว่าท่านจะนำ
"ประชาธิปไตย" และ "เสรีภาพ" ไปสู่โลกอิสลาม ความขัดแย้งในปัจจุบันระหว่างมุสลิมกับตะวันตกเป็นความขัดแย้งทางเศรษฐกิจการเมืองล้วนๆ
หรือว่าเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์รอบใหม่ เป็นต้น
ชาวพุทธในที่ประชุมได้เรียกร้องวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สันติสามประการในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน
ประการแรก ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดโลกภายใต้ระบบทุนนิยมข้ามชาติ ควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจทางเลือก
(เช่น พุทธเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น) เพื่อให้เกิดโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ยุติธรรม
เพื่อว่าประชาชนในโลกที่สามรวมทั้งชาวมุสลิมจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น
ประการที่สอง ประชาชนทุกเชื้อชาติ เพศ วัย สัญชาติ และศาสนาควรจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติในโลกแห่งความหลากหลายนี้
ด้วยความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน โดยปราศจากการคุกคามทำร้ายกัน ควรถือว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
ประการที่สาม การตีความคัมภีร์ทางศาสนาในโลกปัจจุบัน ไม่ควรถูกกระทำไปในลักษณะที่สร้างอุดมการณ์ทางศาสนาอันนำไปสู่ความรุนแรงหรือสงคราม
แต่ควรนำไปสู่การสร้างอุดมการณ์ทางศาสนาที่มุ่งเน้นสันติสุขแก่มนุษย์และสันติภาพแก่โลก
***
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ.
2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 9892. คอลัมน์หน้าต่างความจริง, หน้า 6.
เปิดให้บริการเว็บไซต์นับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547